โรคตาเมื่อยล้า และวิธีการถนอมสายตาให้ดีอยู่เสมอ

ปวดตา แสบตา แพ้แสง สัญญาณเริ่มต้นของโรค “ตาเมื่อยล้า” และวิธีแก้ไข

“ตาเมื่อยล้า” ชื่อนี้อาจจะฟังดูไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไรนัก แต่ในยุคสมัยที่ไม่ว่าใครๆ ก็ติดมือถือ ว่างเป็นต้องหยิบมาสไลด์ หรือแม้กระทั่งในการทำงานแต่ละวัน ก็ต้องอยู่แต่หน้าจอคอมเป็นเวลานานๆ พอกลับบ้านก็ติดซีรีส์เกาหลีงอมแงม ดูกันจนตาแฉะ เคยมีอาการแบบนี้กันบ้างไหมคะ? เมื่อใช้สายตานานๆ หรือมากเกินไป จะรู้สึกปวดตา เนื่องจากกล้ามเนื้อตาอ่อนล้า และถ้ายังใช้ติดต่อกันโดยไม่ได้พัก เพียงไม่นานคุณก็จะรู้สึกตาพร่า ปวดตาและล้า ถึงขั้นต้องหรี่ตาเพ่งมองภาพ เมื่ออยู่กลางแดดจ้าก็จะรู้สึกปวดตา อาการตาเมื่อยล้าที่กล่าวมานี้จะเกิดกับคนที่จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ จอมือถือ หรือดูทีวีติดต่อกันนานๆ ถ้าอยากมีสุขภาพตาที่ดี ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและพักสายตาบ้าง วันนี้เรามีวิธีดูแลและพักสายตาดีๆ มาฝากกัน

เริ่มต้นจากพักสายตา กะพริบตา และหลับตาบ้าง

– เมื่อทํางานที่ต้องเพ่งสายตามาก ให้พักสายตาทุกๆ 20 นาที โดยมองไปไกลๆ สัก 30 วินาที อาจจะมองภาพที่ติดผนังฝั่งตรงข้าม หรือมองวิวนอกหน้าต่าง การเปลี่ยนจุดโฟกัสเช่นนี้จะทําให้ตาได้พัก

– ระหว่างดูทีวีหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ พยายามกะพริบตาบ่อย ๆ จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตาพร้อมกับช่วยคลายกล้ามเนื้อตาได้ด้วย

– ถ้าต้องจ้องอะไรนานๆ ให้หลับตาเป็นระยะๆ แค่หลับตาเพียงไม่กี่วินาที คุณก็จะรู้สึกสบายตาขึ้นทันที

ตาเมื่อยล้า02

ประคบร้อนและเย็น

– การคลายกล้ามเนื้อตาอีกวิธีหนึ่งคือ ให้ถูมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันเร็วๆ จนรู้สึกฝ่ามืออุ่น จากนั้นให้หลับตาแล้วค่อยๆ วางสันมือทั้งสองข้างลงบนตาสักครู่ ความร้อนจากฝ่ามือจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น

– นําผ้าขนหนูผืนเล็กไปแช่ในน้ําเย็น บิดหมาดๆ แล้ววางประคบบนตาประมาณ 5 นาที จะช่วยให้สบายขึ้น

– นำแตงกวาแช่เย็นมาฝานชิ้นบางๆ 2 ชิ้น แล้วนํามาวางบนดวงตาสัก 2-3 นาที ทำซ้ำๆ จนรู้สึกดีขึ้น

เติมความชุ่มชื้นให้ดวงตา

– ถ้ามีอาการเคืองตาเพราะตาแห้ง ให้หยอดตาด้วยน้ำตาเทียม จะช่วยให้ตาชุ่มชื้นขึ้น หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ไม่ควรปล่อยให้ตาแห้ง หากปล่อยไว้ในระยะยาว อาการเคืองตาจะยิ่งรุนแรงขึ้นจนเกิดการอักเสบและการดึงรั้งของเปลือกตาจนทำให้ขนตาลงมาทิ่มตา และในท้ายที่สุด หากเกิดการระคายเคืองจนกระจกตาเป็นแผลอาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไขในที่สุด

เพิ่มแสงสว่างให้เพียงพอ

– อ่านหนังสือในที่มีแสงสว่างเพียงพอ จะได้ไม่ต้องเพ่ง ตอนกลางคืนควรหาโคมไฟอ่านหนังสือที่สามารถปรับให้แสงตกลงบนหน้าหนังสือได้พอดีมาใช้ ส่วนหลอดที่ใช้ควรให้แสงสว่างนวลตา ไม่ควรใช้หลอดไฟที่มีแสงสีส้มแดง หรือให้แสงสว่างจ้าเกินไป

– ไม่ควรอ่านหนังสือในห้องมืดๆ โดยเปิดแค่โคมไฟอ่านหนังสืออย่างเดียว คุณควรเปิดไฟดวงอื่น ๆ ในห้องด้วย เพราะการที่แสงสว่างในบริเวณที่คุณอ่านหนังสือต่างกับความมืดในห้องมากเกินไป จะทําให้รูม่านตาต้องทํางานหนักขึ้น ในการบีบและขยายอยู่ตลอดเวลาเพื่อปรับให้รับกับปริมาณแสงที่แตกต่างกัน

– หลีกเลี่ยงการอ่านหนังสือหรือทํางานโดยใช้แสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ เพราะทําให้ปวดตาได้ง่าย ควรใช้หลอดไส้ธรรมดา หรือหลอดไฟชนิดที่เลียนแบบแสงธรรมชาติ โดยเฉพาะถ้าต้องทํางานโดยเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา

ตาเมื่อยล้า03

ปรับหน้าจอ

– ปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้มีความคมชัด และปรับขนาดตัวหนังสือให้ใหญ่ขึ้น เพื่อที่ไม่ต้องเพ่งหน้าจอมาก

– ปรับเก้าอี้ให้สูงขึ้น เพื่อให้คุณมองจอในลักษณะก้มนิดๆ แล้วปรับหน้าจอให้เงยขึ้นจนพอดีสายตา

– เวลานั่งทํางาน ควรเว้นระยะห่างระหว่างตากับหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 50 ซม. การนั่งมองจอใกล้ๆ แสงจากหน้าจอจะทำให้คุณรู้สึกแสบตา

– ปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือปิดม่านในบริเวณนั้น เพื่อไม่ให้แสงสว่างสะท้อนลงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ จนรู้สึกปวดตา

– ปัดฝุ่นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่เสมอ เพื่อให้สามารถมองเห็นได้คมชัด ไม่ต้องเพ่งและจ้องมากเกินไป

สวมแว่นกันแดด

– เมื่อต้องอยู่ในบริเวณที่มีแสงแดดจ้า ควรสวมแว่นกันแดดเสมอ จะได้ไม่ปวดตาจากการเพ่งมองผ่านแสงแดด แว่นกันแดดที่ดีควรใช้เลนส์สีเหลือง สีอําพัน สีส้ม หรือน้ําตาล เพราะจะช่วยกันแสงในแถบสีน้ําเงินของแถบสเปกตรัมแสง 

เมื่อไรที่ควรไปพบแพทย์

ถ้าคุณมีอาการปวดตาบ่อย ๆ และแก้ไขตามวิธีที่แนะนําไว้แล้ว ยังไม่รู้สึกดีขึ้น หรือเห็นภาพไม่ชัดเจน รู้สึกแสบตาเมื่อมองแสงจ้า หรือจู่ๆ ก็ตาลายหรือเห็นภาพซ้อนทั้งที่พักสายตาแล้ว ซึ่งโรคทางสายตานั้น ถ้าเกิดเวลาเป็นแล้ว โอกาสในการหายจะน้อยเอาเสียมาก ๆ เลยนะคะ ดังนั้นแล้ว แม้จะมีงานหรือภารกิจมากเพียงใดก็ตาม ก็อย่าลืมแบ่งเวลาพักสายตา มองอะไรไกล ๆ มองสีเขียว ๆ อย่างต้นไม้ใบหญ้าบ้าง เพื่อถนอมสายตา ให้สามารถใช้งานได้อยู่กับเราไปนาน ๆ ด้วยนะคะ

 

 

error: Content is protected !!