เป็นเบาหวานกินผลไม้ได้ไหม?
เชื่อว่า คำถามนี้ เป็นคำถามที่คนที่เป็นโรคเบาหวานทุกคนถามหมออยู่ตลอด วันนี้เรามาคลายความสงสัยนี้กันค่ะ
เริ่มต้นจากที่.. ผู้เขียนได้พาคุณแม่ไปหาคุณหมอ จู่ๆ คุณแม่ก็ถามคุณหมอไปว่า “เป็นเบาหวานแบบนี้กินผลไม้บ้างได้ไหมคะ” เราได้ยินก็นึกอยู่ว่า ยังไงคำตอบก็ต้องไม่ได้แน่ๆละมั้ง แต่คุณหมอก็บอกว่า ได้สิครับ!! และแนะนำให้ดูผลไม้ที่มีแป้งน้อย และมีน้ำตาลน้อยเป็นหลัก นอกจากนี้คุณหมอยังบอกเพิ่มว่า ปกติแล้วร่างกายของคนเราเนี่ย สามารถกินน้ำตาลได้ประมาณวันละ 6 ช้อนชา และสำหรับผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานแล้ว ก็ควรจะอยู่ที่ไม่เกิน 3-4 ช้อนชาเท่านั้น
และที่สำคัญ คุณหมอยังบอกอีกว่า เป็นเบาหวาน ไม่ใช่จะงดน้ำตาลไปเลย การทานผลไม้ที่น้ำตาลน้อยเข้าไปบ้าง จะทำให้ร่างกายไม่ดื้ออินซูลินด้วย ซึ่งเป็นผลดีเสียอีก แต่ว่า ให้ดูชนิดของผลไม้เป็นหลัก ไม่ใช่ว่าจะกินได้ทุกอย่างเหมือนกับคนปกติ
เป็นเบาหวาน ตกลงว่ากินผลไม้บ้าง หรือไม่กินเลย ดีกว่ากัน?
ผลไม้ มีน้ำตาลฟรุคโตส ซึ่งการกินผลไม้สด จะช่วยให้เราได้รับไยอาหาร ซึ่งไยอาหารนี้ ก็จะช่วยทำให้การดูดซึมน้ำตาลเป็นไปอย่างช้าๆ การกินผลไม้น้ำตาลต่ำในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน จึงช่วยลดภาวะดื้ออินซูลินได้ดี ดังนั้นถึงแม้จะเป็นเบาหวานก็ตาม แต่ใน 1 สัปดาห์ ให้ทานผลไม้น้ำตาลต่ำและมีกากไยสูงในปริมาณที่พอดีระหว่างมื้ออาหารด้วย ก็จะช่วยให้ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลได้ดี แถมยังได้ความสดชื่น กระฉับกระเฉง จากน้ำตาลในผลไม้อีกด้วย
กินผลไม้ได้วันละแค่ไหน?
ถึงจะบอกว่า คนเป็นเบาหวานทานผลไม้ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะกินกันแทนมื้อหลักไปเลยแบบนี้ก็ไม่ใช่ ปริมาณที่เหมาะสม อ้างอิงจากที่องค์การอนามัยโลกบอกไว้ ก็คือ “ใน 1 วัน ไม่ควรรับน้ำตาลเกินวันละ 6 ช้อนชาสำหรับผู้ใหญ่ และไม่ควรเกินวันละ 4 ช้อนชาสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ”
เข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ จากการหาข้อมูลจากเว็บไซต์ทั้งในไทยและต่างประเทศ ก็ได้ค่าน้ำตาลของผลไม้มาแล้ว มาดูกันดีกว่า ว่าผลไม้อะไรที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานบ้าง
หมายเหตุ** เนื่องจากว่า ปัจจุบันเราสามารถหาทานผลไม้ต่างประเทศได้ไม่ยาก ในห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆก็มีขายกันมาก ดังนั้น ในที่นี่ จะรวมถึงผลไม้จากต่างประเทศเข้ามาด้วย
1 แครนเบอร์รี Cranberry
1 ถ้วยเสิร์ฟ หรือประมาณ 150 กรัม มีน้ำตาล 4 กรัม
แครนเบอรี่เป็นผลไม้เมืองหนาว ที่มีประโยชน์สูงมาก มีจุดเด่นในเรื่องช่วยป้องกันและรักษาดรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมีสารต้นอนุมูลอิสระ มีวิตามินซีสูง ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้แก่ร่างกาย
2 แอปเปิ้ลเขียว
แอปเปิ้ลเขียว 100 กรัม หรือประมาณ ครึ่งลูกกว่าๆ มีน้ำตาล 10 กรัม
แอปเปิ้ลเขียวเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ดังนั้นจึงได้ยินคำแนะนำบ่อยๆว่า เป็นเบาหวาน ถ้าอยากกินผลไม้ก็ต้องกินพวกแอปเปิ้ลเขียวนะ! ประมาณนั้น… แต่ถ้าพิจารณาจากปริมาณน้ำตาลแล้ว ไม่ใช่ง่ายๆเลยเหมือนกัน เพราะเรามีโควตาที่จะกินน้ำตาลได้ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม (แค่กาแฟดำ+น้ำตาลก้อนเดียว ก็หายไป 1 ช้อนชาแล้ว) ดังนั้นถึงจะบอกว่า กินแอปเปิ้ลเขียวได้ แต่ทางที่ดีก็คือ ไม่ควรกินเกินวันละครึ่งลูก แค่พอให้สดชื่นก็พอ อย่าถึงขนาดกินเอาอิ่มเลยนะ
3 สตรอเบอร์รี
สตรอเบอร์รี 200 กรัม มีน้ำตาลประมาณ 7-8 กรัม
สตรอเบอร์รี่ เดี๋ยวนี้ถูกแล้วนะคะ… บ้านเราเดี๋ยวนี้จะมีบางช่วงที่ราคาของสตรอเบอร์รีถูกลงมากๆ ในตลาดจะเห็นกิโลละ 50-60 บาทก็เคยมี ซึ่งสตรอเบอร์รีบ้านเรา จะออกแนวเปรี้ยวอมหวาน บางเจ้าก็เปรี้ยวอย่างเดียวหาหวานไม่เจอ ฮา… แต่อันนี้แหละ พอทานได้ เพราะสตรอเบอร์รี 2 ขีดเนี่ย ถ้าไม่ใช่คนทานเปรี้ยวเก่งๆนะ กว่าจะกินหมดก็แก้มตึงกันเลย
นอกจากอร่อยแล้ว สตรอเบอร์รียังมีคุณประโยชน์อีกมากมาย มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินซีที่สูง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้แก่ร่างกายได้ดี ช่วยบำรุงสายตา เพราะมีวิตามินเอสูง ช่วยป้องปันโรคต้อกระจก และที่แจ๋วเลยก็คือ สตรอเบอร์รีเป็นผลไม้ที่มีปริมาณใยอาหารสูงมาก ความสามารถอย่างหนึ่งของไยอาหารนั้นก็คือ ช่วยลดไขมันที่จะไปอุดตันในหลอดเลือดของเรา ซึ่งไขมันอุดตันในเส้นเลือดนี้เป็นสาเหตุหลักของโรค อัมพฤกษ์ อัมพาต รวมถึงเสียชีวิตด้วย
ข้อห้ามเลย… พริกกับเกลือ อันนี้ถึงแม้จะอยากแค่ไหนก็จิ้มไม่ได้จ้า เพราะถึงชื่อมันจะเป็นพริกกับเกลือ แต่ส่วนประกอบหลักของมันก็คือน้ำตาลนี่เอง
4 อะโวคาโด
อะโวคาโด 100 กรัม มีน้ำตาลประมาณ 9 กรัม
อะโวคาโด เป็นผลไม้ที่เริ่มจะเป็นที่นิยมในบ้านเรามากขึ้น ด้วยประโยชน์ที่มาก อีกทั้งราคาก็จับต้องได้ ไม่ได้แพงเหมือนกับตระกูลเบอรี่ทั้งหลาย สามารถนำมาประยุกต์ทำอาหาร ของทานเล่น รวมถึงเครื่องดื่มก็ยังได้
“อะโวคาโดเป็นผลไม้ (แทบจะเป็นชนิดเดียวเลยก็ว่าได้) ที่มีไขมัน”
ในกลุ่มที่ลดน้ำหนักด้วยวิธีแบบเมดิเตอร์เรเนี่ยน และวิธีคีโตเจนิก จะทานอะโวคาโด เพื่อเพิ่มปริมาณไขมันดี ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ซึ่งต้องบอกว่า ไขมันที่อยู่ในอะโวคาโดนี้ เป็นไขมันประเภทเดียวกันกับน้ำมันมะกอกเลยนะคะ เป็นไขมันดีที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดใด นอกจากนี้ยังมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์ ที่ช่วยลดการอักเสบภายในร่างกายอีกด้วย
5 มะเฟือง
มะเฟือง 100 กรัม มีน้ำตาลประมาณ 7 กรัม
มะเฟืองมีอยู่หลายสายพันธุ์ ถ้าเป็นมะเฟืองในบ้านเรา จะเป็นสายพันธุ์ที่เปรี้ยวนำ หวานน้อย นิยมทานคู่พริกเกลือ หรือนิยมทานเป็นเครื่องเคียงกับพวกแหนม หรืออาหารประเภททอด รวมถึงน้ำพริกก็ได้เช่นกัน ในกลุ่มคนที่ลดน้ำหนัก ก็มักจะทานมะเฟืองในช่วงมื้อเย็น เพราะมีปริมาณเส้นใยอาหารที่สูง ทำให้อิ่มเร็ว
ข้อควรระวัง: มะเฟืองเปรี้ยว ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคไต เนื่องจากในมะเฟืองมีกรดออกซาลิกสูง ซึ่งอาจส่งผลให้การทำงานของไตแย่ลงได้
6 เมล่อน
เมล่อน 100 กรัม มีน้ำตาลประมาณ 8 กรัม
เมล่อนเป็นผลไม้จากญี่ปุ่น ที่นำเข้ามาปลูกในประเทศไทย มีราคาไม่แพง รสชาติหวาน หอม อร่อย อีกทั้งยังมีปริมาณน้ำตาลไม่สูงมากนัก เหมาะที่จะเป็นผลไม้หลังมื้ออาหาร สัก 1 ชิ้น (100 กรัม) ก็ถือว่ากำลังพอดี อีกทั้งเมล่อน ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง มีวิตามินซี เอ เบต้าแคโรทีน แร่ธาตุสำคัญต่าง ๆ อีกมากมาย จึงจัดว่าเป็นผลไม้น้ำตาลต่ำที่ผู้ป่วยเบาหวานสามารถทานได้อีก 1 ชนิด